-เศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเอง บนพื้นฐานชุมชนาธิปไตย
ปัจจุบันปัญหาวิกฤติกทางเศรษฐกิจเป็นปัญหาสำคัยของชาติ ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขและบรรเทา
ความเดือนร้อน เป็น ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประชาชนทุกระดับชั้นไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือในชนบทกระทรวง
มหาดไทย ได้กำหนดยุทธศาสตร์เศรฐกิจชุมชนพึ่งตนเอง เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรฐกิจตกต่ำโดยประสาน
ความมือระหว่าง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนองค์กรชุมชนและประชาชนในชุมชน เพือให้เป็น "เศรษฐกิจของชุมชน
โดยชุมชน และเพื่อชุมชน"อย่างแท้จริง สังคมไทยควรจะก้าวไปสู่ยุคแห่งการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดชะตากรรมชีวิตตนเองตั้งแต่ระดับชุมชน
อำเภอ จังหวัด และหลอมรวมเป็นแผนพัฒนาระดับชาติ สร้างกระบวนการพัฒนาที่แท้จริงที่เป็นการพัฒนาสังคมแบบองค์รวม
โดยมีพื้นฐานอยู่ในระดับชุมชน ความยั่งนืนของสังคมชนบทเป็นปัจจัยของความยั่งยืนทั้งหมด เดิมเศรษฐกิจของชาวชนบท
เป็นเศรษบกิจพอเพียง คือ มีสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติพอเพียง สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตให้เป็นไปตามปกติได้
ภาพจากชาวบ้านกลุ่ม "ตนรักบ้านเกิด" ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย
ความคิดว่าด้วยการพึ่งตนเอง (self-reliance) ปรากฏในหลายสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะด้านจิตวิทยา และสาขาว่าด้วยการพัฒนา แม้ว่าความคิดนี้จะระบุว่า เป็นการค้นหาศักยภาพความสามารถที่ตนเองมีอยู่เพื่อนำออกมาใช้ ซึ่งจะนำไปสู่สู่ความภาคภูมิใจ ก่อให้เกิดพลังความสามารถ ที่จะกำหนดวิถีชีวิต เส้นทางเดินได้ด้วยตนเอง นอกจากนั้นในด้านการพัฒนาแล้ว การพึ่งตนเองยังเป็นส่วนสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนของการพัฒนาร่วมกับหน่วยงานภายนอกด้วย
แต่ในทางปฏิบัติการพึ่งตนเองได้กลายเป็นเรื่องที่ทำให้รัฐ หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงต่อการพัฒนา ลดบทบาทการสนับสนุนชุมชนและประชาชนผู้ยากไร้ลง ในหลายประเทศแนวคิดเรื่องการพึ่งตนเอง เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการตัดลดงบประมาณด้านสวัสดิการทางสังคมจากภาครัฐ และส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จัดหาเงินกู้ในรูปของสถาบันการเงินขนาดเล็กพร้อมไปกับการส่งเสริมให้เกิดรายได้จากภาคการเกษตร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของท้องถิ่น โดยรัฐทำหน้าที่ให้ความรู้ จัดฝึกอบรม และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพื่อให้เอกชนเข้ามาบุกเบิกลงทุนและช่วงชิงทรัพยากรเพื่อนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
การส่งเสริมให้เกิดการพึ่งตนเองนั้นมีวิธีคิดที่สำคัญอยู่ว่า ชาวบ้าน พึ่งตนเองไม่ได้ เป็นภาระที่ต้องคอยรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอก ดังนั้นในโลกของทุนนิยมเสรีจึงต้องทำให้ชาวบ้านเหล่านี้สามารถพึ่งตนเองให้ได้เพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐลง อย่างไรก็ตามในยุคสมัยของการพยายามรวมรัฐ-ชาติ ของไทย ที่อำนาจรัฐยังแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปไม่ถึงในชนบท ประชาชนในท้องถิ่นห่างไกลดำรงชีวิตด้วยการพึ่งตนเองอยู่แล้ว โดยไม่ต้องให้บุคคลภายนอกมาบอกให้เขาเหล่านั้นต้องพึ่งตนเอง บทความเรื่อง ครอง จันดาวงศ์ กับการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธของชาวอีสาน เป็นตัวอย่างอันดีของการพึ่งตนเอง ของชาวอีสานที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากข้าราชการและรัฐบาล
แต่สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่ชาวนาอีสานจะลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้เพื่อปกป้อง และเรียกร้องความเป็นธรรม ชาวบ้านเหล่านี้ได้มีส่วนอย่างสำคัญในการเข้าร่วมช่วยเหลือขบวนการเสรีไทยที่เคลื่อนไหวในบริเวณเทือกเขาภูพานด้วย บทความอีกเรื่องที่ทำให้เห็นว่า การพึ่งตนเองเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างใกล้ชิดคือ บทความเรื่อง คนกลุ่มใหม่ในชนบทกับการเมืองท้องถิ่น ที่แสดงให้เห็นถึงการเกิดเครือข่ายทางการเมืองที่เปลี่ยนโฉมหน้าคนชนบทจากผู้ที่เคยถูกกำหนดบทบาททางการเมืองให้เป็นเพียงผู้สนับสนุนนักการเมือง ได้กลายเป็น “ผู้เล่น” และกลายเป็นนักการเมืองเอง ทำให้การเมืองส่วนกลางลดบทบาทด้านการพัฒนาลง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่ทำให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองได้โดยไม่ต้องรอการจัดสรรงบประมาณจากส่วนกลางอีกต่อไป
สิ่งสำคัญอีกประการที่พบในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารฉบับนี้คือ การพึ่งตนเองของชาวบ้าน ชาวชนบทนั้น แทบจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากรัฐผ่านโครงการพัฒนาต่างๆ เลย แต่การพึ่งตนเองเหล่านั้นเกิดจากการสั่งสมความรู้ ประสบการณ์ และทักษะการดำรงชีวิตในถิ่นอาศัย รัฐ ดังเช่น การใช้ชีวิตในฤดูน้ำหลาก ของชาวบ้านตาลเอน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากบทความเรื่อง นิเวศภูมิปัญญากับการปรับตัวในช่วงฤดูน้ำหลากของชาวบ้านตาลเอนฯ หรือบทความเรื่องพลวัตรในสิทธิการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนชาวลัวะอพยพฯ นอกจากนั้นบทความเรื่อง ชุมชนพึ่งตนเอง : แนวทางแห่งวิถีชีวิตอิสระของคนพิการ และความผาสุกทางจิตวิญญาณของผู้สูงอายุในศูนย์บริการผู้สูงอายุฯ ได้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะพึ่งตนเองได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องให้บุคคลภายนอกมาบอกให้ต้องพึ่งตนเอง
การพึ่งตนเองในงานพัฒนาจึงเป็นกลไกกำกับความสัมพันธ์ (dispositif) ซึ่งเป็นเครื่องมือของอำนาจ เพื่อผลักภาระการจัดสวัสดิการทางสังคม และการสร้างหลักประกันการดำรงชีพให้กับประชาชน กลายเป็นเรื่องของธุรกิจเอกชนที่ประชาชนมีภาระต้องจ่าย หรือมิเช่นนั้นก็ให้ประชาชนรวมกลุ่มกันเพื่อช่วยเหลือกันเอง โดยรัฐหันไปสนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในกิจการดังกล่าวแทน การพึ่งตนเองจึงอาจเป็นทางออกสำหรับการพัฒนาโดยองค์กรภาครัฐที่ไม่สามารถจะเข้ามาดำเนินการพัฒนา ชาวบ้าน ชาวชนบท ที่รู้เท่าทันและเปลี่ยนแปลงจนองค์กรการพัฒนาทั้งหลายเหล่านี้ตามไม่ทัน โดยหันไปจับมือกับภาคธุรกิจเพื่อให้เข้ามายึดฉวยทรัพยากรในชนบทแทน เพื่อทำให้ทรัพยากรกลายเป็นสินค้า สะสมทุนเร่งการเติบโตของรัฐ ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า การเข้ามาของการลงทุนจะนำพาชาวบ้านไปสู่การพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งการพึ่งตนเองของชาวบ้านก็คือ การลุกขึ้นมาต่อต้านอำนาจรัฐ และการเข้ามาของนายทุนส่วนกลาง ซึ่งการพึ่งตนเองแบบนี้ ไม่เคยถูกกล่าวถึงในสาขาวิชาว่าด้วยการพัฒนาที่สอนกันอยู่ในสถาบันการศึกษา ดังเช่นภาพปกวารสารฉบับนี้ ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จังหวัดเลย ชู 3 นิ้ว กลางทุ่งนา ให้กำลังใจนักศึกษากลุ่ม 'ดาวดิน' ด้วยห่วงใยความปลอดภัยในชีวิตของลูกๆ นักศึกษา ปฏิบัติการให้กำลังใจกลางทุ่งนาในฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต ท่ามกลางสถานการณ์การคุกคามจากบริษัทเหมืองแร่ทองคำ และฝ่ายความมั่นคง นับเป็นความกล้าหาญ และสะท้อนถึงการพึ่งตนเองอย่างถึงที่สุดโดยไม่มีหน่วยงานภาครัฐหน่วยงานใดยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

แนวคิดการพัฒนาเพื่อพึ่งตนเองของเกษตรกรอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (Self Reliance)
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการส่งเสริมชุมชนหรือการพัฒนาชนบทที่สำคัญๆ คือ การที่ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนา คือ การที่ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนาให้เกิดการพึ่งตนเองได้ของคนในชนบทเป็นหลัก กิจกรรมและโครงการตามแนวพระราชดำริที่ดำเนินการอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศในปัจจุบันนั้นล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่การพึ่งตนเองได้ของราษฎรทั้งสิ้น
ในการพัฒนาทั้งด้านอาชีพและส่งเสริมการเกษตร ให้เกษตรกรสามารดำรงชีพอยู่ได้อย่างมั่นคงเป็นปึกแผ่นนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการแนะนำสาธิตให้ประชาชนดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาทเป็นไปตามหลักการพัฒนาสังคมชุมชนอย่างแท้จริง กล่าวคือ ทรงมุ่งช่วยเหลือพัฒนาให้เกิดการพึ่งตนเองได้ของคนในชนบทเป็นหลัก
ดังนั้น การที่ราษฎรในชนบทสามารถพึ่งตนเองได้มากยิ่งขึ้นนั้น สืบเนื่องจากแนวพระราชดำริด้านการพัฒนาที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานแก่เกษตรกรทั้งหลายประการ
วิธีการพัฒนา
1. ทรงยึดหลักที่ไม่ใช้วิธีการสั่งการให้เกษตรกรปฏิบัติตาม เพราะไม่อาจช่วยให้คนเหล่านั้นพึ่งตนเองได้ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติงานโดยไม่ได้เกิดจากความพึงใจ ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า
..ดำริ คือ ความเห็นที่จะทำ ไม่ใช่คำสั่งแต่มันเป็นความเห็น มีทฤษฎีอะไรต้องบอกออกมา ฟังได้ฟัง ชอบใจก็เอาไปได้ ใครไม่ชอบก็ไม่เป็นไร...
2. ทรงเน้นให้พึ่งตนเองและช่วยเหลือตนเองเป็นหลักสำคัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมักจะทรงทำหน้าที่กระตุ้นให้เกษตรกรทั้งหลายคิดหาลู่ทางที่จะช่วยตนเอง พึ่งตนเองโดยไม่มีการบังคับการแสวงหาความร่วมมือจากภายนอกต้องกระทำเมื่อจำเป็นจริงๆ ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ว่า
...คนทุกคน ไม่ว่าชาวกรุงหรือชาวชนบทไม่ว่ามีการศึกษามากหรือน้อยอย่างไร ย่อมมีจิตใจเป็นอิสระ มีความคิดเห็น มีความพอใจ เป็นของตนเอง ไม่ชอบการบังคับ นอกจากนั้นยังมีขนบธรรมเนียม มีแบบแผนเฉพาะเหล่ากันอีกด้วย...
3. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน (People Participation) เป็นจุดหลักสำคัญในการพัฒนาตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยการดำเนินการเช่นนั้น จักช่วยให้ประชาชนสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในที่สุด ดังเคยมีพระราชดำรัสในอากาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2501 กับประชาชนชาวไทยทั้งหลายว่า
...ภาระในการบริหารนั้นจะประสบผลด้วยดีย่อมต้องอาศัยความรักชาติ ความซื่อสัตย์สุจริต ความสมัครสมานกลมเกลียวกัน ประกอบกับการร่วมมือของประชาชนพลเมืองทั่วไป ข้าพเจ้าจึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะพยายามปฏิบัติกรณียกิจในส่วนของแต่ละท่านด้วยใจบริสุทธิ์ โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้เพื่อได้มาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขของประชาชนทั่วไปอันเป็นยอดปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น...
4. หลักสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการแนะนำประชาชนเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ คือ ทรงใช้หลักประชาธิปไตยในการดำเนินการ เห็นได้ชัดเจนในทุกคราที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนประชาชนและเกษตรกรร้องทุกข์เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น หากเจ้าหน้าที่ทักท้วงสิ่งใดทางวิชาการ กราบบังคมทูลแล้วก็ทรงรับฟังข้อสรุปอย่างเป็นกลาง หากสิ่งใดที่เจ้าหน้าที่กราบบังคมทูลว่าปฏิบัติได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงให้เปลี่ยนแปลงโครงการได้เสมอ เห็นได้ชัดเจนจากพระราชดำรัสศูนย์ศึกาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริว่า
...เป็นสถานที่ที่ผู้ทำงานในด้านพัฒนาจะไปทำอะไรอย่างที่เรียกว่า ทดลอง ก็ได้ และเมื่อทดลองแล้วจะทำให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในวิชานั้นสามารถเข้าใจว่าเขาทำกันอย่างไรเขาทำอะไรกัน...
ได้พระราชทานพระราชาธิบายเพิ่มเติมอีกว่า
...ฉะนั้นศูนย์ศึกษาการพัฒนานี้ ถ้าทำอะไรล้มเหลวต้องไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องถูกลงโทษ แต่เป็นสิ่งที่แสดงว่าทำอย่างนั้นไม่เกิดผล...
5. ทรงยึดหลักสภาพของท้องถิ่นเป็นแนวทางในการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้งด้านสภาพแวดล้อม ทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี ของแต่ละท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เพราะทรงตระหนักดีกว่าการเปลี่ยนแปลงใดที่ดำเนินการโดยฉับพลันอาจก่อผลกระทบต่อค่านิยม ความคุ้นเคย และการดำรงชีพในวิถีประชาเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงพระราชทานแนวคิดเรื่องนี้ว่า
...การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศของภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา ภูมิประเทศของสังคมวิทยาคือ นิสัยใจคอของคนเราจะไปบังคับให้คนคิดอย่างอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้วเราเข้าไปดูว่า เขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง...
6. พระราชดำริที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การสร้างความแข็งแรงให้ชุมชน ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักที่จำเป็นต่อการผลิต อันจะเป็นรากฐานนำไปสู่การพึ่งตนเองได้ในระยะยาว โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ คือ แหล่งน้ำ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ต้องพึ่งพาอาศัยน้ำฝนจักได้มีโอกาสที่จะมีผลิตผลได้ตลอดปี ซึ่งเป็นเงื่อนไขปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะทำให้ชุมชนพึ่งตนเองได้ในเรื่องอาหารได้ระดับหนึ่ง และเมื่อชุมชนแข็งแรงพร้อมดีแล้ว ก็อาจจะมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการยกระดับรายได้ของชุมชน เช่น เส้นทางคมนาคม ฯลฯ ซึ่งการพัฒนาในลักษณะที่เป็นการมุ่งเตรียมชุมชนให้พร้อมต่อการติ่ดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกอย่างเป็นขั้นตอนนี้ทรงเรียกว่า การระเบิดจากข้างใน ซึ่งเรื่องนี้พระองค์ทรงอธิบายว่า
...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้นตอน ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อนโดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจชั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับ...
วิธีการพัฒนาเพื่อให้เกิดการพึ่งตนเองได้นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชี้แนะว่าควรจะต้องค่อยๆ กระทำตามลำดับขั้นตอนต่อไป ไม่ควรกระทำด้วยความเร่งรีบซึ่งอาจจะเกิดความเสียหายได้ ดังที่รับสั่งกับนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2523 ว่า
...ในการสร้างความเจริญก้าวหน้านี้ ควรอย่างยิ่งที่จะค่อยสร้างค่อยเสริมทีละเล็กละน้อยให้เป็นลำดับ ให้เป็นการทำไปพิจารณาไป และปรับปรุงไป ไม่ทำด้วยอาการเร่งรีบตามความกระหายที่จะสร้างของใหม่เพื่อความแปลกใหม่ เพราะความจริงสิ่งที่ใหม่แท้ๆ นั้นไม่มี สิ่งใหม่ทั้งปวงย่อมสืบเนื่องมาจากสิ่งเก่าและต่อไปย่อมจะต้องกลายเป็นสิ่งเก่า...
พร้อมกันนี้ในเรื่องเดียวกัน ทรงมีรับสั่งกับบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 ว่า
...เมื่อมีพื้นฐานหนาแน่นบริบูรณ์พร้อมแล้ว ก็ตั้งตนพัฒนางานต่อไป ให้เป็นการทำไปพัฒนาไปและปรับปรุงไป...
7. การส่งเสริมหรือสร้างเสริมสิ่งที่ชาวชนบทขาดแคลน และเป็นความต้องการอย่างสำคัญ คือ ความรู้ ด้านต่างๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักว่า ชาวชนบทควรจะมีความรู้ในเรื่องของการทำมาหากิน การทำการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมโดยทรงเน้นถึงความจำเป็นที่จะต้องมี ตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ในเรื่องการพึ่งตนเอง ซึ่งทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ราษฎรในชนบทได้มีโอกาสได้รู้ได้เห็นถึงตัวอย่างของความสำเร็จนี้ และนำไปปฏิบัติได้เองซึ่งทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ตัวอย่างของความสำเร็จทั้งหลายได้กระจายไปสู่ท้องถิ่นต่างๆ ทั่งประเทศ วิธีการให้ความรู้แก่ประชาชนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในกรพัฒนาว่า
...การใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยในงานต่างๆ นั้น ว่าโดยหลักการควรจะให้ผลมาก ในเรื่องประสิทธาพ การประหยัดและการทุ่มแรงงาน แต่อย่างไรก็ตามก็คงยังจะต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นเป็นพื้นฐานและส่วนประกอบของงานที่ทำด้วย อย่างในประเทศของเราประชาชนทำมาหาเลี้ยงตัวด้วยการกสิกรรมและการลงแรงทำงานเป็นพื้น การใช้เทคโนโลยีอย่างใหญ่โตเต็มรูปหรือเต็มขนาดในงานอาชีพหลักของประเทศย่อมจะมีปัญหา เช่นอาจทำให้ต้องลงทุนมากมายสิ้นเปลืองเกินกว่าเหตุ หรืออาจก่อให้เกิดการว่างงานอย่างรุนแรงขึ้น เป็นต้น ผลที่เกิดก็จะพลาดเป้าหมายไปห่างไกลและกลับกลายเป็นผลเสีย ดังนั้น จึงต้องมีความระมัดระวังมากในการใช้เทคโนโลยีที่ปฏิบติงานคือ ควรพยายามใช้ให้พอเหมาะพอดีแก่สถาวะของบ้านเมืองและการทำกินของราษฎรเพื่อให้เกิดประสิทธิผลด้วย เกิดความประหยัดอย่างแท้จริงด้วย...
8. ทรงนำความรู้ในด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมเข้าไปถึงมือชาวชนบทอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยทรงมุ่งเน้นให้เป็นขบวนการเดียวกับที่เป็นเทคโนโลยีทางการผลิตที่ชาวบ้านสามารถรับไปและสามารถไปปฏิบัติได้ผลจริง
ในทางปฏิบัติเรื่องนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือกใช้เทคนิควิธีการต่างๆ หลายประการเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายที่ทรงมุ่งหวังดังกล่าวนั้นมีหลายแนวทาง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น