สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ข้อมูลส่วนพระองค์
พระราชสมภพ 17 เมษายน พ.ศ. 2277
สวรรคต 6 เมษายน พ.ศ. 2325
พระราชบิดา หยง แซ่แต้ (鄭鏞)
พระราชมารดา กรมพระเทพามาตย์ (นกเอี้ยง)
พระมเหสี กรมหลวงบาทบริจา
กรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์
พระราชบุตร 30 พระองค์
การครองราชย์
ราชวงศ์ ราชวงศ์ธนบุรี
ครองราชย์ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 – 6 เมษายน พ.ศ. 2325
ระยะเวลาครองราชย์ 14 ปี 99 วัน
รัชกาลก่อนหน้า สถาปนากรุงธนบุรีสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์เป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ก่อนหน้า
รัชกาลถัดมา สิ้นกรุงธนบุรีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ถัดมา
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4มีพระนามเดิมว่า สิน พระราชบิดาเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ นกเอี้ยง(ภายหลังเป็นกรมพระเทพามาตย์) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปราบดาภิเษกขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาในทางพิธีการ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในสมัยอาณาจักรธนบุรี ขณะพระชนมายุได้ 34 พรรษา พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 เมื่อมีพระชนมายุได้ 48 พรรษา ทรงครองราชย์นานถึง 15 ปี พระราชโอรส-พระราชธิดา รวมทั้งสิ้น 30 พระองค์ พระราชกรณียกิจที่สำคัญในรัชสมัยของพระองค์ คือ การกอบกู้เอกราชจากพม่าภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง โดยขับไล่ทหารพม่าออกจากราชอาณาจักรจนหมดสิ้น และยังทรงทำสงครามตลอดรัชสมัยเพื่อรวบรวมแผ่นดินซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของขุนศึกก๊กต่าง ๆ ให้เป็นปึกแผ่น เช่นเดียวกับขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูประเทศในด้านต่าง ๆ ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติหลังสงคราม ทรงส่งเสริมทางด้านเศรษฐกิจ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม และการศึกษา เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อแผ่นดินไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปีเป็น "วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน" และยังทรงได้รับสมัญญานามมหาราช
พระราชสมภพและขณะทรงพระเยาว์
ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีชาวจีนแต้จิ๋วคนหนึ่งนามว่า หยง แซ่แต้ (鄭鏞) (นิธิ เอียวศรีวงศ์อธิบายว่า ไหฮอง หรือ ไฮ้ฮง หรือ ไห่เฟิง (海豐) เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดแต้จิ๋ว มิใช่ชื่อของพระราชบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) เป็นผู้อพยพมาจากเมืองเฉิงไห่ ซัวเถา ครั้นเมื่อถึงวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 มีบุตรชายคนหนึ่ง ได้ชื่อว่า สิน (信) เกิดแต่นาง นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวไทย ซึ่งต่อมาได้รับเฉลิมพระนามเป็นกรมพระเทพามาตย์ สำหรับถิ่นกำเนิดของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นน่าจะเกิดในแถบภาคกลางมากกว่าเมืองตาก ซึ่งมักว่ากันว่าอยู่ในกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานที่อาลักษณ์ของจีนจดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารวงเช็ง แผ่นดินจักรพรรดิเฉียนหลง กล่าวถึงพระราชประวัติของพระองค์ไว้ว่า "บิดาเจิ้งเป็นชาวมณฑลกวางตุ้ง ไปทำมาค้าขายอยู่ที่เสียมล่อก๊ก [暹羅國; ประเทศไทย] และเกิดเจิ้งเจา [鄭昭; สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี; สำเนียงปักกิ่ง] ที่นั่น เมื่อเจิ้งเจาเติบใหญ่ เป็นผู้มีความสามารถ ได้เข้ารับราชการอยู่ในเสียมล่อก๊ก เมื่อเจิ้งเจารบชนะพม่า ฯ แล้ว ราษฎรทั่วประเทศยกขึ้นเป็นเจ้าครองประเทศ..." สำหรับการศึกษาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่แน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะทรงเคยบวชเรียนมาระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ทรงสามารถแต่งกลอนบทละครและอุดหนุนการเก็บรวบรวมคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาในภาษาไทยและภาษาบาลีครั้นเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว ส่วน อภินิหารบรรพบุรุษ ระบุว่า เด็กชายสินได้เล่าเรียนหนังสือในวัดโกษาวาส สำนักของพระอาจารย์ทองดี อีกทั้งยังได้อุปสมบท และยังศึกษาภาษาต่างประเทศเป็นจำนวนมากในระหว่างเป็นมหาดเล็ก เพียงแต่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าพระองค์ตรัสได้ 4 ภาษา คือ ไทย จีน ญวน และลาว
สร้างกลุ่มชุมนุมและกอบกู้เอกราช
ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่านั้น หัวเมืองฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้ และตะวันตกล้วนถูกควบคุมอย่างเข้มงวด การทำมาหากิน การทำไร่ทำนา ทรัพย์สิน วัวควายถูกยึดไว้หมด จนกระทั่งในช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2309 (ก่อนกรุงแตกประมาณ 3 เดือน) นั้น กองทัพพม่ายิงถล่มพระนครศรีอยุธยาอย่างหนัก เกิดเพลิงลุกไหม้ทั่วพระนคร บ้านเรือ วัด วัง ได้รับความเสียหาย เฉพาะบ้านเรือนราษฎรเกิดเพลิงไหม้กว่า 10,000 หลังทว่ากลางวันของวันที่ 3 มกราคมนั้นกองกำลังของสมเด็จพระเจ้าตากสินเมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นพระยาตาก ได้รวบรวมไพร่พลจำนวน 1,000 นายหนีออกจากกรุงศรีอยุธยามาก่อนแล้ว จึงได้เห็นแสงเพลิงลุกไหม้ในกรุงศรีอยุธยาที่บ้านสัมบัณฑิตในเวลาเที่ยงคืนของวันนั้น โดยมีนายทหารคนสำคัญในกองทัพคือ พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยอาสา หลวงราชสเน่หา ขุนอภัยภักดี (ทั้ง 5 นายนี้มักปรากฏอยู่เคียงข้างพระบรมราชานุสาวรีย์หลายแห่ง) พระองค์ตั้งค่ายอยู่ในค่ายวัดพิชัยได้เริ่มออกเดินทางมาถึงบ้านหารตราเมื่อเวลาค่ำ โดยมีกองทัพพม่าไล่ติดตามมา แล้วต่อรบกันจนพม่าพ่ายแพ้กลับไป ก่อนจะเดินทางมาถึงบ้านข่าวเม่า บ้านสัมบัณฑิต ตอนเวลาเที่ยงคืน
เช้าวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2309 กองกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปทางบ้านโพสังหาร พม่าส่งกองทัพไล่ติดตามมาอีกจึงได้รบกันจนพม่าแตกพ่ายกลับไป มาถึงบ้านพรานนกเวลาเย็น คราวนี้พม่าส่งไพร่พลมาแก้มือถึง 2,000 นาย ฝ่ายพระยาตากจึงทรงม้ากับทหารอีก 4 ม้าออกรับศึก จนสามารถตีพม่าแตกพ่ายกลับไปอีกครั้ง วันนี้เหล่าทหารม้าจึงถือเอาเป็น วันทหารม้า ของไทย
วันที่ 3 ของการเดินทัพ กองกำลังพระยาตากเดินทัพมาสุดเขตพระนครศรีอยุธยา ก่อนที่จะเข้าเมืองนครนายก ก็มีขุนชำนาญไพรสนฑ์กับนายกองช้าง มาขอสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ ทั้งยังถวายช้างพลาย 5 ช้าง ช้างพัง 1 ช้าง แล้วอาสานำทางต่อไปยังบ้านกง (หรือบ้านดง) เมืองนครนายก เมื่อถึงบ้านกง ข้าราชการ ขุนหมื่นพันทนายท้องถิ่น ไม่ยอมสวามิภักดิ์ แม้จะได้เจรจาเกลี้ยกล่อม 3 ครั้ง ก็ไม่สำเร็จ รุ่งขึ้นกองกำลังพระยาตากจึงต้องปะทะไพร่พลชาวบ้านกง ซึ่งมีกำลังมากกว่า 1,000 นาย แต่ก็ถูกกองกำลังพระยาตากตีพ่ายไป ยึดช้างได้เพิ่มอีก 7 ช้าง เงินทอง และเสียงอาหารอีกจำนวนมาก วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2509 หรือ 6 วันนับตั้งแต่หนีออกจากพระนคร เดินทัพมาถึงตำบลหนองไม้ชุ่ม แล้วหยุดพัก ณ จุดนี้เป็นเวลา 2 วัน ก่อนที่จะออกเดินทัพต่อมถึงบ้านนาเริ่ง แขวงเมืองนครนายกแล้วหยุดพักอีก 1 คืน
ต่อมาพระยาตากจึงนำไพร่พลข้ามแม่น้ำที่ด่านกบแจะ เมืองปราจีนบุรี แล้วหยุดพักรี้พล ก่อนจะเดินทัพต่อไปยังทุ่งศรีมหาโพธิ์ และต้องหยุดรอนายทหาร 3 นาย คือ พระเชียงเงิน ขุนพิพิธวาที และสมเด็จพระรามราชา ที่ตามกองทัพมาไม่ทัน ระหว่างที่ทรงรอกลุ่มพระเชียงเงินอยู่นั้น ได้เกิดการปะทะกับกองทัพทั้งทัพบกทัพเรือของพม่าซึ่งตั้งอยู่ที่ปากแม้น้ำโจ้โล้ เมืองฉะเชิงเทรา "พม่าไล่แทงฟันคงซึ่งเหนื่อยล้าอยู่นั้นวิ่งหนีมาตามทาง ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็น จึงให้นายบุญมีขึ้นม้าใช้สวนทางลงไปประมาณ 200 เส้น พบกองทัพพม่ายกขึ้นมาแต่ปากน้ำโจ้โล้ทั้งทัพบกทัพเรือ" พระเจ้าตากจึงมีรับสั่งให้ตั้งแนวรับ ขุดหลุมเพลาะ วางปืนตับ เรียงหน้ากระดาน จนพม่าเข้ามาใกล้ราว 240 เมตร จึงเริ่มเปิดฉากยิงขึ้น แนวแรกของพม่าแตกพ่ายไป แต่ยังมีกองหนุนเข้ามาอีก 3 กอง ซึ่งก็ถูกยิงแตกพ่ายไปเช่นกัน "จึงขับพลทหารโห่ร้องตีฆ้องสำทับไล่ติดตามฆ่าพม่าเสียเป็นอันมาก แล้วก็เดินทัพมาทางบ้านหัวทองหลางสะพานทอง" จากแนวทะทะและการติดตามฆ่าพม่ามาทางปากน้ำโจ้โล้นี้เอง ทำให้เปลี่ยนจากการเดินทัพตามชายป่าดงมาเป็นชายทะเลเข้าเขตเมืองชลบุรี "จึงให้ยกพลนิกายมาประทับตามลำดับ บ้านทองหลาง, ตะพานทอง, บางปลาสร้อย ถึงบ้านนาเกลือ"
ที่บ้านนาเกลือ มีนายกลม (หรือนายกล่ำ) นายชุมนุมที่บ้านนาเกลือได้รวบรวมไพร่พลคิดสกัดต่อรบกับกองกำลังพระเจ้าตาก แต่เพียงพระเจ้าตากแสดงแสนยานุภาพ "เสด็จทรงช้างพระที่นั่งสรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธทรงพระแสงปืนต้นรางแดงกับหมู่พลโยธาหาญ" เท่านั้นนายกลมก็ถึงกับวางอาวุธ ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี แล้วอาสานำไป พัทยา นาจอมเทียน ทุ่งไก่เตี้ย สัตหีบ ชายทะเล บ้านหินโขง และบ้านน้ำเก่าแขวงเมืองระยอง โดยพักทัพคืนละแห่งตามลำดับ ระหว่างเส้นทางที่ผ่านไปนั้นได้ปะทะกับกองกำลังของพม่าหลายครั้ง แต่ก็สามารถตีฝ่าไปได้ทุกครั้ง และสามารถรวบรวมไพร่พลตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ได้มากขึ้น
หลังจากพระองค์ยึดเมืองระยองได้ ขณะพักอยู่บริเวณวัดลุ่มมหาชัยชุมพล ได้เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์พายุหมุนจนบิดต้นตาลเป็นเกลียวโดยไม่คลายตัว ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ตาลขด บรรดาทหารทั้งหลายต่างก็ยกพระยาวชิรปราการเป็น เจ้าตาก ภายหลังจากเดินทัพออกจากวัดพิชัย 23 วันพระองค์ได้มีพระราชปณิธานว่า "กรุงเทพมหานครคงจะเสียแก่พม่าเป็นแท้ ตัวเราคิดจะซ่องสุมประชาราษฎรในแขวงเมืองหัวเมืองตะวันออกทั้งปวงให้ได้มากแล้ว จะยกกลับเข้าไปกู้กรุงห้คงคืนเป็นราชธานีดังเก่า แล้วจักทำนุบำรุงสมณพราหมณาประชาราษฎรซึ่งอนาถาหาที่พำนักบ่มิได้ ให้ร่มเย็นเป็นสุขานุสุข และจะยอยกพระบวรพุทธศาสนาให้โชตนาการไพบูลย์ขึ้นเหมือนอย่างแต่ก่อน เราจะตั้งตัวเป็นเจ้าขึ้น ให้คนทั้งหลายนับถือยำเกรงจงมาก การซึ่งจะก่อกู้แผ่นดินจึงจะสำเร็จโดยง่าย" การประกาศตั้งตัวขึ้นในครั้งนี้มีศักดิ์เทียบเท่าพระบรมวงศานุวงศ์ อย่างไรก็ตาม ก็อาจพิจารณาจากแนวคิดทางการเมืองได้เช่นกันว่า พระยาตากประกาศตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินนับตั้งแต่ยกทัพออกจากกรุงศรีอยุธยาแล้วเจ้าตากมุ่งยึดเมืองจันทบูรซึ่งก่อนเข้าตีเมือง ได้มีรับสั่งให้ทหารทุกคนทำลายหม้อข้าวให้หมด หมายจะให้ไปกินข้าวในเมืองจันทบูร จนตีได้เมืองจันทบูรเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2310 หลังจากนั้น ก็มีผู้คนสมัครใจเข้ามาร่วมด้วยกับพระองค์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเมืองจันทบูรและเมืองตราดไม่ถูกยึดครองโดยทหารพม่า
พระเจ้าตากทรงรวบรวมกำลังพลจนมีจำนวน 5,000 นาย จึงได้ยกกองทัพเรือออกจากจันทบูร ล่องมาตามฝั่งทะเลในอ่าวไทย จนถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อสู้จนยึดธนบุรีคืนจากพม่าได้ นายทองอิน เจ้าเมืองธนบุรีซึ่งพม่าแต่งตั้งให้นั้น ถูกประหารชีวิต ต่อจากนั้น ได้ยกกองทัพเรือต่อไปถึงกรุงศรีอยุธยา เข้าโจมตีค่ายโพธิ์สามต้นจนสามารถขับไล่ทหารพม่าออกจากอาณาจักรได้ และสามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากการยึดครอง ใช้เวลาเพียงเจ็ดเดือนหลังเสียกรุง
ปราบดาภิเษก
ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์และการเมืองเป็นสำคัญ[39] ทำให้เจ้าตากมา "ยับยั้ง" อยู่ ณ เมืองธนบุรี ซึ่งมีลักษณะเป็นราชธานีไม่ถาวร[40] ก่อนหน้านั้น เมืองธนบุรีถูกทิ้งร้าง มีต้นไม้ขึ้นและซากศพทิ้งอย่างเกลื่อนกลาด ทำให้ต้องมีการเกณฑ์แรงงานจัดการพื้นที่ขึ้นมาใหม่[41] เจ้าตากยังมีรับสั่งให้คนไปอัญเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยตอนปลายอยุธยาจากเมืองลพบุรีมายังเมืองธนบุรี และได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าเอกทัศตามโบราณราชประเพณี
หลังจากที่อพยพผู้คนและทรัพย์สินลงมาทางใต้และตั้งราชธานีใหม่ขึ้นที่เมืองธนบุรี เรียกนามว่า กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร แต่เอกสารทางราชการสมัยกรุงธนบุรียังคงเรียกนามเมืองหลวงตามเดิมว่า "กรุงพระมหานครศรีอยุธยา" เจ้าตากทรงปราบดาภิเษกขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ตามแบบพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงเก่า จดหมายเหตุโหรระบุว่าเป็นวันอังคาร แรมสี่ค่ำ จุลศักราช 1129 ซึ่งตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาธิไธยว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ในขณะที่ยังมีพระชนมายุ 34 พรรษา ความสำเร็จดังกล่าวทำให้มีผู้ที่มีแนวคิดต้องการรื้อฟื้นราชอาณาจักรอยุธยาขึ้นมาใหม่มาเข้าร่วมด้วยกับชุมนุมของพระองค์เป็นอันมาก ทำให้สถานะพระมหากษัตริย์ของพระองค์เด่นชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งพระองค์ยังทรงเริ่มประกอบพระราชกรณียกิจตามแบบอย่างพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเพื่อแสดงถึงสิทธิธรรม การเลือกกรุงธนบุรีเป็นราชธานียังถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เสียหายจากสงครามกับพม่าด้วย
หลังจากทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังกรุงธนบุรี หรือ พระราชวังเดิมขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2310 เป็นพระราชวังหลวงซึ่งใช้เป็นที่ประทับและว่าราชการ พร้อมกับปรับปรุง "ป้อมวิไชยเยนทร์" และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ป้อมวิไชยประสิทธิ์" ตำแหน่งของพระราชวังนี้เป็นจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ สามารถสังเกตการณ์ได้ในระยะไกล อีกทั้งยังใกล้กับเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการเดินทัพที่สำคัญอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกองทัพเรือ
พระราชภารกิจ
หลังจากกอบกู้เอกราชให้แก่ประเทศชาติ คือ การปราบชุมนุมต่างๆ ที่ตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า ตั้งแต่ชุมนุมสุกี้พระนายกอง จนถึงชุมนุมเจ้าพระฝางให้ราบคาบ รวมอาณาจักรเป็นอันเดียวกันนับเป็นเวลาสามปี ครั้นสำเร็จตามพระทัยปราถนาแล้ว ก็ต้องทำสงครามกับพม่าต่อ ทรงยืนหยัดต่อสู้อยู่ด้วยพระทัยเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง จนได้อาณาเขตกว้างขวางออกไปทั้งสี่ทิศ คือ
ทิศเหนือ ได้ดินแดนเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์
ทิศตะวันออก ได้ดินแดนลาวและเขมร ทางฝั่งแม่น้ำโขงจดอาณาเขตญวน
ทิศใต้ ได้ดินแดนเมืองกะลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี
ทิศตะวันตก จดดินแดนเมืองเมาะตะมะ ทวาย มะริด และตะนาวศรี
เจ้าตาก สมภพเมื่อปีขาล พ.ศ. 2277 เวลาเมื่อเข้ามากู้กรุงศรีอยุธยา อายุย่างเข้า 34 ปี พระเจ้าตากสินมีชื่อเสียงปรากฎว่ามีฝีมือรบพุ่งเข้มแข้ง แม้พวกพม่าข้าศึก ก็ยกย่องว่าเป็นนายทหารสำคัญคนหนึ่งในกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พาทหารกล้าตายห้าร้อยคนออกจากค่ายวัดพิชัย หนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แล้วและได้ปะทะกับพม่ากลางทุ่งนา คราวนั้นก็รบเอาชัยเป็นฤกษ์เสียแล้ว ต่อไปก็รบชนะเรื่อยมา แม้เมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มีกำลังทหารมาก ก็สามารถรบชนะเข้าไปกินข้าวเช้ากันในเมืองได้ ครั้นยกกองทัพเรือขึ้นมากอบกู้อิสระเสรี ก็มีชัยชนะตั้งแต่เมืองธนบุรี ที่กรุงศรีอยุธยา มีคราวเดียวกับที่รบกับอะแซหวุ่นกี้ และนับเป็นราชการสงครามที่พระองค์ทรงเป็นจอมทัพ ไม่ถึงแก่แพ้ชนะแก่กัน พม่าถอยทัพกลับไปเองเสียก่อนแต่กระนั้นก็ขับไล่พม่าที่ตกค้างแตกพ่ายเสียหายอย่างยับเยิน
การปกครอง
สมเด็จพระเจ้าตากสิน หลังจากที่ได้กอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาก็ทรงปกครองบ้านเมืองคล้ายคลึงกับพระราโชบายของพ่อขุนรามคำแหง คือแบบพ่อปกครองลูก พระเจ้าตากสินทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์เดียวที่ไม่ถือตัว ชอบปรากฎพระวรกายให้ประชาราษฎรเห็น และชอบถามสารทุกข์สุขดิบของประชาชนทั่วไป ทรงหาวิธีให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ทำมาหากินโดยปกติสุข ใครดีก็ยกย่องสรรเสริญ ผู้ใดทำไม่พอพระทัย ก็ดุด่าว่ากล่าวดังพ่อสอนลูก อาจารย์สอนศิษย์ ซึ่งสมกับโคลงยอพระเกียรติของนายสวนมหาดเล็กที่ว่า
พระเดียวบุญลาภเลี้ยง ประชากร
เป็นบิตุรมาดร ทั่วหล้า
เป็นเจ้าและครู สอนสั่งโลก
เป็นสุขทุขถ้วนหน้า นิกรทั้งชายหญิง
ในสมัยของพระองค์นอกจากเกณฑ์ผู้คนเข้ากองทัพไปราชการสงครามแล้ว ความเดือดร้อนอื่นๆ หามีไม่เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมยิ่งมีพระเมตตาจิตต่อพศกนิกรของพระองค์อย่างทั่วหน้า และ มีพระศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ศาสนาลัทธิอื่นเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในไทย คือ บาทหลวงฝรั่งเศส แต่ครั้นได้รับสิทธิให้ทำการเผยแพร่ศาสนาของตนแล้ว กลับยุยงให้คนไทยที่เข้ารีดให้ขัดขืนต่อราชการหลายหนเป็นการนำผลร้ายให้แก่ไทย จึงขอทรงให้บาทหลวงคณะนั้นออกไปพ้นพระราชอาณาเขต และทรงห้ามคนไทยมิให้ถือศาสนานั้นอีกเป็นอันขาดในยามรบทัพจับศึก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเหี้ยมหาญ อดทน สมเป็นชายชาตรีชาตินักรบฝีมือเยี่ยมจะเห็นได้ว่าในราชการสงครามแต่ละครั้งในสมรภูมิ นายทัพนายกองตลอดจนไพร่พลมักถูกลงโทษด้วยทำการไม่ได้ดังพระทัยเสมอ เช่น เมื่อคราวเรียกกองทัพกลับแล้วให้เลยไปราชบุรี มีนายทัพคนหนึ่งขัดรับสั่งแวะบ้านเสียก่อน ถึงหัวขาด นี่แสดงถึงความพิโรธของพระองค์ แต่เมื่อถึงคราวเสียสละพระองค์ก็ยอมตัดสินพระทัยไม่อยู่ดูอาการสมเด็จพระชนนีทรงพระประชวรพระอาการน่าวิตก ทั้งๆ ที่ " เมียร้อยคนหรือจะสู้พระแม่ได้ " แต่ทรงเป็นห่วงราชการสงครามมากกว่าพระราชชนนี ทรงห่วงใยว่า " ถ้ามิได้เสด็จไปบัญชาการ ก็คงจะเอาชนะพม่ามิได้ " ในคราวรบพม่าที่บางแก้ว จังหวัดราชบุรี เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2317 แล้วทรงปรารภด้วยความน้อยพระทัยว่า " ใช้พวกลูกๆ ไปทำสงครามครั้งใด ถ้าพ่อไม่เข้ากองทัพไปด้วย ไม่เห็นรบชนะศึกสักราย "
ข้อนี้เป็นความจริง สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์ไปทำสงครามตามลำพัง หลังจากเป็นแม่ทัพไปรบกับพม่าคราวอะแซหวุ่นกี้หัวเมืองฝ่ายเหนือ เมื่อปีมะแม พ.ศ. 2318 และสองท่านนี้เท่านั้น เป็นพระกรขวาซ้ายในราชการสงครามทุกครั้ง และทรงเป็นทหารเอกยอดนักรบคู่พระราชหฤทัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ผลงานที่สร้างชื่อของพระเจ้าตากสิน
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์มีความสำคัญที่ชาวไทยไม่สามารถจะลืมในพระคุณงามความดีที่ทรงกอบกู้เอกราชเริ่มแต่ ทรงตีฝ่าวงล้อมพม่าเมื่อออกจากค่ายวัดพิชัย พร้อมด้วยสมัครพรรคพวกห้าร้อยคน มีอาวุธคือปืนเพียงกระบอกเดียว นอกนั้นเป็นหอกดาบ ก็สามารถตีหักฝ่าวงล้อมพม่าออกไปได้ หรือทรงเข้ายึดเมืองจันทบุรี ถือเป็นการเริ่มต้นของพระองค์ เพราะได้เริ่มประกาศพระองค์ขึ้นเป็นเจ้าคนทั้งปวงเรียกพระนามว่า "เจ้าตากสิน" แต่นั้นมา พระองค์เริ่มสะสมเสบียงอาหาร อาวุธ กำลังทหาร เพื่อเข้าทำการกอบกู้อิสรภาพ ทรงได้อิสรภาพคืน ที่เรียกว่ากอบกู้อิสระเสรีกรุงศรีอยุธยา เมื่อเตรียมรบพร้อมสรรพและตีได้เมืองธนบุรีแล้ว ได้ขึ้นมาตีพม่าที่ค่ายโพธิสามต้น รบชนะพม่าแตกพ่ายทรงยึดกรุงศรีอยุธยาได้ ข้าราชการได้อัญเชิญเสด็จขึ้นเสวยราชย์ เป็นพระเจ้าอยู่หัวของชาติไทยทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่ขนานนามเรียกแตกต่างเป็นหลายอย่างเช่น ขุนหลวงตากเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชครองราชย์สมบัติกรุงธนบุรีได้ 15 ปีเศษ ก็สิ้นพระชนม์มีชนมายุ 48 พรรษา กรุงธนบุรีมีกำหนดอายุกาลได้ 15 ปี
ถวายพระนามมหาราช และการสร้างพระราชอนุสาวรีย์
ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ตามที่กล่าวมาแล้ว ประชาชนทุกหมู่เหล่าจึงพร้อมใจกันถวายพระนาม “มหาราช” แด่ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” และรัฐบาลอันมี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งเหล่าพสกนิกรชาวไทย ได้พร้อมใจกันสร้างพระราชอนุสาวรีย์ประดิษฐาน ณ วงเวียนใหญ่ ฝั่งธนบุรี ซึ่งศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี คณบดีประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากรขณะนั้น เป็นผู้ออกแบบ ทางราชการได้ประกอบพระราชพิธีเปิดและถวายบังคมพระบรมราชอนุสาวรีย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2497 และในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2497 จึงมีรัฐพิธีเปิดเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินทรงวางพวงมาลา ถวายราชสักการะ ต่อมาทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเสวยราชย์ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ไทย เป็นวันถวายบังคมพระบรมราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น